วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

นันโทปนันทสูตรคำหลวง

นันโทปนันทสูตรคำหลวง
             นันโทปนันทสูตร  เป็นสูตรหนึ่งในคัมภีร์ทีฆนิกายสีลขันธวรรค พระพุทธสิริเถระได้แต่งขึ้นเป็นภาษาบาลี   ต่อมาเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์เมื่อครั้งผนวชได้ทรงพระนิพนธ์เป็นภาษาไทยชื่อว่า นันโทปนันทสูตรคำหลวง เนื้อความพระสูตรนี้กล่าวถึงพระพุทธองค์ทรงส่งพระมหาโมคัลลานเถระไปทรมานนาคราชนามว่า นันโทปนันท เพื่อให้กลายจากมิจฉาทิฐิมาตั้งอยู่ในสัมมาทิฐิแล้วนำไปเฝ้าพระพุทธองค์  เมื่อนันโทปนันทนาคราชได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์แล้วได้ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต   
       ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าวรรณคดีเรื่องนันโทปนันปทสูตรคำหลวงแต่ก่อนมีชื่อว่า นันโทปนันท ซึ่งเป็นสูตรหนึ่งในคัมภีร์ทีฆนิกายสีลขันธวรรค พระพุทธสิริเถระได้แต่งขึ้นเป็นภาษาบาลี ต่อมาเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ได้ทรงผนวชจึงทรงพระนิพนธ์เป็นภาษาไทยซึ่งมีชื่อว่า นันโทปนันทสูตรคำหลวง  เนื้อความพระสูตรนี้กล่าวถึงพระพุทธองค์ทรงส่งพระมหาโมคัลลานเถระไปทรมานนาคราชนามว่านันโทปนันท เพื่อให้กลายจากมิจฉาทิฐิมาตั้งอยู่ในสัมมาทิฐิแล้วนำไปเฝ้าพระพุทธองค์     เมื่อนันโทปนันทนาคราชได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์แล้วได้ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต


                                                                     ประวัติผู้แต่ง
                ผู้แต่ง  เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์  เรียกกันตามพระนามเดิมจนติดปากว่า  เจ้าฟ้ากุ้ง  พระองค์มีพระนามเต็มๆว่า  เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศและสมเด็จพระพันวสาใหญ่ กรมหลวงอภัยนุชิต  ประสูติเมื่อ พ.ศ. ๒๒๕๘ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๙ พรรษา ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ เนื่องจากทรงมีพระราชอาญา เพราะทรงใช้ดาบฟัน  เจ้าฟ้าพระกรมสุเรนทรพิทักษ์พระราชนัดดาของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศซึ่งผนวชอยู่จนจีวรขาดวิ่น จึงต้องออกผนวชอยู่ถึง ๒ ปี  เมื่อได้รับพระราชทานอภัยโทษ ก็ลาผนวชออกมา ภายหลังได้ดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชต่อมาพระราชวังที่ประทับเกิดไฟไหม้  จึงเสด็จไปประทับอยู่ในวังหลวงชั่วคราว ตอนนี้แหละทำให้พระองค์ทำผิดอย่างใหญ่หลวง  กล่าวคือได้ทรงมีโอกาสลักลอบทำชู้กับเจ้าฟ้าสองพระองค์ซึ่งเป็น     พระสนมของพระราชบิดา  พระราชบิดาให้ลงโทษโบย ๒๓๐ ที  โดยตีทีละยก ยกละ ๓๐ ที ให้นาบหน้าให้เสียโฉมแล้วเป็นไพร่ แต่เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ทรงถูกโบยไปได้แค่ ๑๘๐ ที             ก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน  เพราะทรงทนไม่ไหว                       
                ราชนิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องทางศาสนา และใช้คำประพันธ์หลายชนิดในเรื่องเดียวกันในประวัติวรรณคดีไทยมีวรรณกรรมคำหลวงเพียง ๔ เรื่องคือ
๑.มหาชาติคำหลวง
๒.นันโทปนันทสูตรคำหลวง
๓.พระมาลัยคำหลวง
๔.พระนนท์คำหลวง
                เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ทรงพระราชนิพนธ์นันโทปนันทสูตรคำหลวง  และพระมาลัยคำหลวง ขณะที่ทรงหนีไปทรงผนวช  เพราะจะถูกลงพระราชอาญาด้วยเหตุที่ทรงมีเรื่องพิพาทกับเจ้าฟ้ากรมขุนสุเรนทรพิทักษ์  ซึ่งกำลังทรงผนวช อยู่  วรรณกรรมทั้งสองเรื่องนี้ทรงพระราชนิพนธ์ก่อนวรรณกรรมทางโลก  เพราะการที่ทรงพิพาทกับพระเชษฐานั้นเกิดขึ้นในวัยหนุ่มจึงนับว่า  เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ทรงมีพระอารมณ์รุนแรงมาก  ในตอนหนุ่มนั้นทรงมีความอิจฉาริษยา  และเจ้าโทสะ แต่เมื่อพระชนมายุมากขึ้น  พระอารมณ์เปลี่ยนไปเป็นความรัก  ความใคร่อย่างรุนแรง  จนนำไปสู่ความหายนะแห่งชีวิต  ในที่สุด  


วัตถุประสงค์
                      - เพื่อแข่งกับมหาชาติคำหลวง
                      - เพื่อแสดงถึงความสำนึกผิดที่ทรงใช้ดาบฟันพระภิกษุเจ้าฟ้านเรนทรพิทักษ์
          - เพื่อสรรเสริญพระเดชานุภาพพระพุทธเจ้าเพื่อเผยแผ่คำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา  และก่อให้เกิดศรัทธาในพุทธศาสนา โดยทรงนำเนื้อเรื่องมาจากคัมภีร์ทีฆนิกาย ชื่อ นันโทปนันทสูตร

ลักษณะการแต่ง
- แต่งเป็นร่ายยาว  แทรกคาถาบาลี  และมีโคลงสี่สุภาพ ๒  บท อยู่ในตอนจบ              

 คำประพันธ์ประเภทร่าย

                ร่าย คือ คำประพันธ์ประเภทร้อยกรองแบบหนึ่งที่แต่งง่ายที่สุดและมีฉันทลักษณ์น้อยกว่าร้อยกรองประเภทอื่น ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่าร่ายมีลักษณะใกล้เคียงกับคำประพันธ์ประเภทร้อยแก้วมาก เพียงแต่กำหนดที่คล้องจองและบังคับวรรณยุกต์ในบางแห่ง

กำเนิดและวิวัฒนาการของร่าย
                พระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) สันนิษฐานว่าร่ายเป็นของไทยแท้ มีมาแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง ด้วยปรากฏหลักฐานครั้งแรกในวรรณคดีสุโขทัยคือสุภาษิตพระร่วงและต่อมาจึงปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในวรรณคดีอยุธยาเรื่องโองการแช่งน้ำในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) สันนิษฐานว่า ร่ายเป็นของไทยแท้ เพราะคนไทยนิยมพูดเป็นสัมผัสคล้องจอง ดังปรากฏประโยคคล้องจองในสำนวนศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง กาพย์พระมุนีเดินดงของภาคเหนือ และคำแอ่วของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ        
 นอกจากนี้ยังสันนิษฐานว่า คำว่า "ร่าย" ตัดมาจาก "ร่ายมนต์" สังเกตจากโองการแช่งน้ำที่มีร่ายดั้นปรากฏเป็นเรื่องแรกและมีเนื้อหาเป็นคำประกาศในการดื่มน้ำสาบานวิวัฒนาการของร่ายน่าจะเริ่มจากสำนวนคล้องจองในศิลาจารึกและความนิยมพูดคล้องจองของคนไทยแต่โบราณ ในบทที่พระภิกษุใช้เทศนาก็ปรากฏลักษณะการคล้องจองอยู่ เป็นการรับส่งสัมผัสจากวรรคหน้าไปยังวรรคถัดไป โดยไม่ได้กำหนดความสั้นยาวของพยางค์อย่างตายตัว ซึ่งลักษณะนี้ใกล้เคียงกับร่ายประเภท "ร่ายยาว" มากที่สุด จึงมีการสันนิษฐานว่า ร่ายยาวเป็นร่ายที่เกิดขึ้นในอันดับแรกสุด ต่อมาจึงเกิด "ร่ายโบราณ" ซึ่งกำหนดจำนวนพยางค์และจุดสัมผัสคล้องจองตายตัว และตามมาด้วย  "ร่ายดั้น" ซึ่งมีการประยุกต์กฎเกณฑ์ของโคลงดั้นเข้ามา สุดท้ายจึงเกิด "ร่ายสุภาพ" ซึ่งมีการประยุกต์กฎเกณฑ์ของโคลงสุภาพเข้ามา
   
ประเภทของร่าย
                ร่ายมีสี่ประเภท เรียงลำดับตามการกำเนิดจากก่อนไปหลังได้ ดังนี้
                ๑. ร่ายยาว
                ๒. ร่ายโบราณ
                ๓. ร่ายดั้น
                ๔. ร่ายสุภาพ

ฉันทลักษณ์ของร่ายยาว
                ร่ายยาว คือ ร่ายที่ไม่กำหนดจำนวนคำในวรรคหนึ่ง ๆ แต่ละวรรคจึงอาจมีคำน้อยมากแตกต่างกันไป การสัมผัส คำสุดท้ายของวรรคหน้าสัมผัสกับคำหนึ่งคำใดในวรรคถัดไป จะแต่งสั้นยาวเท่าไรเมื่อจบนิยมลงท้ายด้วยคำว่า แล้วแล นั้นแล นี้เถิด โน้นเถิด ฉะนี้ ฉะนั้น ฯลฯ เป็นต้น
  

ตัวอย่างฉันทลักษณ์ของร่าย

             ตัวอย่าง
                  อหํ อันว่าข้า สิริปาโล ผู้ชื่อพระมหาสิริปาลกประกาศ  นาวจทโดยพระนามแต่                     บูรพาทิบรรพัชชครั้งนิวัตรนิเวศน เปนกษัตริย์เพศวรำ ธม์มาธิเปส์สชยเชฏ์ฐสุริยวํส                                  เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรไชยเชษฐ์สุริยวงษ์...















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น